ธรรมะหลวงพ่อฉัน เรื่องพระในบ้าน

ถอดจากไฟล์เสียง  http://www.niyommata.com/private_folder/02thamma/40021.wma สำหรับผู้ที่มีเวลาอ่านแต่ไม่มีเวลาฟังครับ

เจริญพร สาธุชน ผู้เจริญในธรรม ทุกๆ ท่าน ต่อจากนี้ไป ท่านจะได้รับฟังธรรมะ จากหลวงพ่อฉัน ฉันก็จะพูดธรรมะของฉันไป ทีนิ๊ คือเรียกว่าฟังธรรมะจากหลวงพ่อฉัน วันนี้ หลวงพ่อฉันนึกอะไรได้ ฉันทะ แปลว่า ความพอใจ คำว่าฉัน คำนี้แปลว่าความพอใจ ที่ฉันจะมอบให้ ท่านผู้ฟัง ที่เคารพในธรรมทั้งหลาย คือเรียกว่า ถ้าหากว่า ท่านผู้ฟังเนี่ยมีใจตรงกัน เรียกว่าหมุนคลื่นตรงกัน มีความคิดเห็นที่ตรงกัน รับฟัง รับฟัง คือเรียกว่าความกตัญญู รู้คุณ ใครเขาให้คุณต่อเรา เราก็ตอบแทนคุณเขาไปด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความซื่อตรง ความซื่อสัตย์ ความซื่อตรง จะเป็นบุคคลผู้ที่มีทรัพย์ทั้งภายนอกและภายในกินไม่ไหว ใช้ไม่หมด ทั้งในอนาคต และปัจจุบัน แต่ถ้าเราไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความกตัญญู เราทั้งๆ หลาย ก็ไม่มีความกตัญญู คือไม่่รู้คุณของบุคคล จะเป็นคนยากคนจน ทรัพย์สมบัติภายนอก ก็ จะไม่ค่อยมี ทรัพย์สมบัติภายใน ก็จะไม่ค่อยมี เราจะให้อะไรใครเขาซักคนนึง ต้องมีความกตัญญู พ่อแม่จะยกสมบัติให้ลูก ก็ต้องดูความกตัญญู ครูจะสอนศิษย์ ที่มีความใกล้ชิด ก็ต้องดูความกตัญญู คือรู้จักคุณของบุคคล ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน คนๆ นั้นแหละคือ ญาติของเรา ไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นหน้า กัน ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักกัน ขอให้เรามีใจรัก กันเหมือนพี่ มีใจรัก กันเหมือนพี่ ดีกันเหมือนน้อง ปรองดองกันเหมือนญาติ นี่แหละคือญาติของเรา นิมิตตัง สาธุโรปันนัง กตัญญูกตเวทิตา พุทธเจ้าท่านเอาความกตัญญู เป็นนิมิต เป็นเครื่องหมายของคนดี นั่งนึกไป และก็พูดไป หลวงพ่อฉัน นั่งนึกไปพูดไป ใจแม่พระ ยอดเสียสละ เพื่อลูกยา หาใครเหมือน ยอดพระทูสุดบูชา พระในเรือน พระเป็นเพื่อน ของลูกยา พาเจริญ คนที่อยู่ในบ้านของเรานั่นแหละ เป็นพระอรหันต์ของลูก เรียกว่า แม่พระ เป็นผู้ที่เสียสละเพื่อลูกทุกคน และก็เป็นครูคนแรกในการที่จะสอน ที่เขาไหว้ครูนี่ ครูคนแรก ก็คือ พ่อแม่ ของเรา ก็คือแม่ของเรา บางคนอาจจะคิดว่า เอ หลวงพ่อฉันนี่ทำไม แก่พูดถึงแต่พระคุณของแม่ มีแม่เพียงคนเดียวมันจะเกิดลูกได้หรือ มันต้องมีพ่อด้วย เรียกว่าต่างคนต่างช่วยกัน เขาเรียกว่าช่วยกันลูก ช่วยกันสร้างโลกนี้ให้มีความเจริญ มีแม่คนเดียว จะไปเกิดได้ยังไร ทำไมไม่พูดถึงพระคุณของพ่อบ้าง คือเรียกที่ว่าหลวงพ่อฉัน พูดถึงคุณของแม่นี่ คือเรียกว่าหลวงพ่อฉัน พูดถึงคุณของแม่นี่ มันชัดเจนกว่า กัน เพราะว่าพ่อนี่ไม่ได้อุ้มท้อง ความรักเป็นอย่างไรเนี่ยไม่รู้ ไม่ได้อุ้มท้องประคองครรภ์มา ไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ลำบาก แต่เป็นบุคคล ถ้าหากว่าพ่อดีเนี่ย เป็นบุคคลที่หาทรัพย์ภายนอกมาช่วยกันอุปการะลูก ของตนเอง นั้นคือหน้าที่ของความเป็นพ่อ มีความรักอย่างไรเนี่ย แม่อุ้มท้องมา 8 เดือน 9 เดือน มีความใกล้ชิดอยู่กับลูก เรียกว่าเป็นคนคนเดียวกัน เพราะอยู่ด้วยกันมา และก็แยกร่างกันออกมาเท่านั้นเอง อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ในท้อง เกิดมาตั้งแต่ตรงนั้น เป็นแดนเกิด เสร็จแล้วก็แยกร่างออกมาเป็นลูก แปลงร่างออกมา แยกร่างออกมา กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง เลี้ยงมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้ง 8 เดือน 9 เดือน ออกมาแล้วความใกล้ชิดของแม่ก็มากกว่าพ่อ อีก เรียกว่าป้อนข้าวป้อนน้ำ อาบน้ำให้ นอนกอด นอนกอดลูกของตนเอง อยู่ในอ้อมอกของไออุ่น ไม่ใช่ว่าพ่อไม่มีคุณ แต่พูดออกไปแล้ว ก็มีคุณเหมือนกัน แต่มันไม่ชัดเจน แต่ถ้าพ่ออุ้มท้องได้เนี่ย อยากจะให้พ่อเนี่ยอุ้มท้องดู เอาซักเดือนนึงเต็มๆ โอ้ยจะตายแล้ว คิดว่านะ ไม่ต้องถึง 8 เดือน 9 เดือน หรอก เอ้าทดลองดู ซักเดือนนึง ดู หนีไปเที่ยวตรงไหนก็ไม่ได้ แล้วทีนี้ เป็นบางครั้งไอ้พวกกันนอนอยู่นี้ อุ้มท้องประคองครรภ์เนี่ย พ่อก็แอบไป แอบไปไหนหลวงตาฉันก็ไม่รู้นะ เป็นบางคนนะ ไม่ใช่ทุกคนไป ทีเนี่ย เออ พูดไป ก็ไม่รู้ จะพูดอะไรอีกทีนี้ เพราะอย่างนั้น หลวงตาฉันไม่ได้ลำเอียง รักแต่แม่ พูดแต่พระคุณของแม่ เพราะมันชัดเจนกว่าเท่านั้นเอง ความใกล้ชิดเนี่ย พ่อนี้คือพระเดช แม่นี่ คือพระคุณ ที่จะให้ลูก พ่อนี่ก็มีพระเดช แม่นี่ก็มีพระคุณด้วยกัน ที่จะต้องช่วยกัน ปุกปล้ำลูกของตนเอง แต่ที่พูดถึงเรื่องพระคุณของแม่นี่พ่อก็ต้องฟัง ไม่ใช่หลวงพ่อฉันนี่ลำเอียง แต่ความชัดเจนมันชัดเจนกว่ากัน ถึงได้พูดไปว่า ถึงได้นึกไปแล้วก็พูดไป ว่าใจเนี่ย แม่พระ เป็นยอดนักเสียสละ เพื่อลูกยาหาใครเหมือน ยอดพระทูสุดบูชา พระในเรือน พระเป็นเพื่อน ของลูกยาพาเจริญ เรียกว่าเป็นพระในเรือน บางทีลูกไม่เห็นพระ เอ พระที่บ้านฉันไม่มี พระที่บ้านฉันไม่มี นั่นแหละคือเรียกว่าพระ ในเรือนเป็นเพื่อน อยู่ในบ้าน เป็นบางครั้งก็เป็นเพื่อนเล่น ของลูก เล่นไปกับลูกหัวเราะ ไปเล่นไป ลูกจะตีหัวบ้างก็ช่าง มันเถอะ เพราะว่าเราเป็นเพื่อน กัน ว่าอีกแหละ ลูกไม่พอใจก็ตีหัวเพื่อน ตีหัวแม่ไป แม่ก็ยิ้มดีใจ ไปกับลูกด้วย ลองคนอื่นมาตีหัวถัวะทีเนี่ย ตีได้เมื่อไรเล่า แต่พอลูกตีหัวล่ะ ยิ้ม นี่แหละเขาเรียกว่าพระ เป็นพระแล้วก็เป็นเพื่อน เป็นพระอยู่ในเรือนเป็นเพื่อน อยู่ในบ้านก็คือแม่ นั้นเอง ขอให้เรามองเห็น ด้วยใจจริงอยากจะให้ท่าน ผู้ฟังนี่แข็งอกแข็งใจ ฟังไปแล้วก็นึกย้อนอดีต ไปเนี่ย คนแก่นี่จะนึกย้อนอดีต เลี้ยงลูกแต่ละคนเนี่ย ด้วยใจจริงไม่ใช่ว่า จะเสแสร้งแกล้งพูดไป พระคุณแม่นั้นนะมาก จริงๆคำว่ามากนี่ไม่รู้จักหมด ทำไมหลวงพ่อฉัน ถึงพูดถึงแต่ความกตัญญู ตอนแรก ก็ไม่นึกอยากจะพูด คือพูดไปแล้วมันไม่ ค่อยจบอารมณ์มันตัดเอาตอน พยายามพูดไปไม่ให้ภาพมันปรากฏขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าพูดความกตัญญู ถ้าภาพของแม่ปรากฏ ขึ้นเนี่ย หลวงพ่อฉันมันพูดไม่ได้ แม่ของฉัน มาหาฉันแล้วทีนี่ พยายามตัดอารมณ์นี่ออกไป แต่ทำไมถึงพูดอยู่แต่ เรื่องนี้่ เนื่องจากความกตัญญูเนี่ย มันเป็นพื้นฐานของสังคม เพราะสังคมปัจจุบันนี้ นี่มัน ขาดความกตัญญู คือเรียกว่าเห็นแต่ปากท้อง ฉัน ปากท้องของฉัน ขาดความกตัญญู เอาได้นิดได้หน่อยก็เอา ได้ส่วนเกินนิดๆ หน่อยๆ มองไม่เห็นความกตัญญู มันขาดความเป็นพื้นฐานของคนดีเนี่ย ถ้าหากว่าคนมองไม่เห็นคุณของคนแล้วนี่ ความดี อย่างอื่นเนี่ยยาก เป็นสิ่งที่หายาก มองไม่เห็นความกตัญญู ไม่เห็นคุณของบุคคลอื่นนี่ ได้ส่วนเกินนิดๆ หน่อยๆ ก็เอาอย่างกันนี่ ทีหา คิดว่าเขา ไม่รู้กับเราอะไรทำนองเนี่ย เพราะฉะนั้น แหละหลวงพ่อฉันเป็นผู้พูด เพื่อให้ เกิดความเทิดทูน พระคุณของแม่ ใจจริงแท้ แม่ฉันมีแต่ให้ ให้ทุกอย่าง ทั้งชีวิตและจิตใจ ไม่มีใคร ใจสปอร์ต ยอดแม่เอย คือเรียกว่าไม่มีใครหรอกที่สปอร์ตเท่าแม่ของเรา มีแต่ให้อย่างเดียว แม้แต่เลือดในอก แม่ก็ให้ เรียกว่าที่กลั่นออกมาเป็นน้ำนม แม่ก็ให้ลูกไป เลือดในอกให้ทุกอย่าง ทั้งชีวิตก็ให้ได้ ทั้งชีวิตทั้งจิตใจ ไม่มีใครหรอกใจสปอร์ตเท่ากับแม่ นี้คือเรียกว่า ที่มีคุณไม่รู้จักหมด ลูกนี่ เรียกว่า ความรักของลูกนี่มัน หมดเป็น ลองไปขัดใจลูก ดูถัวะ
อะไรก็ได้ลองไปขัดใจ ความรักของลูกนี่หมดเลยนะ ไม่มีเหลือ จะเป็นลูกศิษย์ก็หมด จะเป็นลูกตัวก็หมด จะเป็นลูกที่เราเลี้ยงมาก็หมด เรียกว่าลูกเลี้ยง เวลาเขาอยากได้ผลประโยชน์เราไม่ให้เขาดูถัวะ หมดเลย เขาไม่อยากเคารพ เขาไม่อยากนับถือ หมด ความรักของลูกที่มีต่อพ่อต่อแม่ ลองไปขัดใจดู แล้วจะเกิดความรู้ แบ่งทรัพย์สมบัติไม่เท่ากัน แบ่งให้ไม่เท่ากันเนี่ย เท่านั้นเอง มีพ่อกับแม่คน คู่หนึ่งเนี่ย เขาว่ากันว่า (ไอ) โอ พูดไปก็เสลดมันพันคอ เสลดมันพันคอเนี่ย เดี๋ยวผู้ฟังเขาจะหาว่า หลวงตาฉันเอาอีกแล้ว เกิดอาการที่จะ พอพูดเรื่องความกตัญญูไม่ได้ เสลดมันพันคอ มันไม่มีอะไรหรอก คือเรียกว่ามีพ่อแม่อยู่คู่หนึ่ง มีทรัพย์สมบัติมาก มีลูกอยู่ 5 คน มีลูก 5 คน ลูกผู้ชาย 3 ลูกผู้หญิง 2 มีลูก 5 คน เสร็จแล้วนี่ตอนที่เป็นช้างแก่ แต่มีงานี่ ลูกทั้ง 5 คนก็ไปปรึกษากันว่า พวกเรานี่ช่วยกันไปปรนนิบัติพ่อแม่ เถอะ ผลัดกันไป คนละ เดือน ละเดือน เนี่ย เสียสละเลย ไปปรนนิบัติพ่อแม่ พ่อแม่อยากจะกินอะไร ปูที่หลับที่นอน ให้ เสร็จแล้วพวกเราก็ช่วยกันพูดทุกวัน ๆ ว่า ให้พ่อกับแม่นี่แบ่งสมบัติให้ลูก ให้เท่าๆ กันให้หมดซะ ใครไปก็ต้องพูดว่า โอ พ่อกับแม่นี่แก่แล้ว ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ลูกของพ่อของแม่ก็ดีด้วยกันทุกคน แม่จะไปห่วงอะไร จะไปหวงเอาไว้ให้ใคร แบ่งทรัพย์สมบัติแจกลูกซะ คนที่ 1 ไปหนึ่งเดือนก็พูดอย่างนี้ ลูกคนที่ 2 ไปปรนนิบัติก็พูดอย่างนี้ ลูกคนที่ 3 ไปปรนนิบัติก็พูดอย่างนี้ ลูกคนที่ 4 ไปปรนนิบัติก็พูดอย่างนี้ ลูกคนที่ 5 ไปปรนนิบัติก็พูดอย่างนี้ น้ำหยดใส่หิน หินยังรู้จักกร่อน หัวใจของคนแก่ เขาเรียกว่าอ่อนๆ พอถูกลูก โยกคลอนเข้าทุกวัน ทุกวัน มันตั้ง 5 คน 5 คนก็ 5 เดือน แล้ว ช่วยกันพูดอย่างนี้ทุกวันๆ ทรัพย์สมบัติพ่อแม่จะเอาไว้ทำไม แก่แล้ว แบ่งให้ลูกซะ ดูลูก ของพ่อแม่ดีด้วยกันทุกคนไม่มีใครเขาทอดทิ้ง โอ หัวใจของคนแก่หรือ จะทนอยู่ได้ เห็นลูกดีทั้ง 5 คน เฮอ เอ้า แบ่งเถอะพ่อมึงเอ้ย ว่า ลูกของเราน่ะดีจริงๆ ทีนิ เสร็จแล้วพ่อแม่แก่แล้ว พอแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกเท่ากัน พ่อกับแม่ก็ไปอยู่กับลูกคนโตก่อน อยู่กับลูกคนโตซักปีนึง เอ้า หมดอายุความ เอ้า มาอยู่กับลูกคนที่ 2 ซักหนึ่งปี เสร็จแล้วก็ไปอยู่กับลูกคนที่ 3 อีกหนึ่งปี อยู่ กับลูกคนที่ 3 อีกหนึ่งปี ก็สามปีแล้ว ไปอยู่กับลูกคนที่ 4 อีก หนึ่งปี ก็เป็น 4 ปี อยู่กับลูกคนที่ 5 อีกหนึ่งปีก็ 4 ปี อ้า 5 ปีแล้ว แสดงว่าครบลูก 5 คน พ่อก็ไปอยู่กับลูก 5 คนก็ 5 ปี รอบที่ 2 ก็ไปเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นจากลูกคนที่ 1 อีก แล้วก็ 2 3 4 5 รอบ 2 ก็ 10 ปี รอบ 3 ก็ 15 ปี ไปอยู่รอบที่ 4 ก็ 20 ปี ลูกก็ไปบวกเลขคำนวณให้ดู คนแก่ก็เชื่อ เออ จริง ลูกเสียเวลาทำการทำงานเขา เพราะเขาทำงาน เขาเสียเวลาเขา เขาจะได้อยู่ได้กินของเขา ถึงเวลามาก็ปรนนิบัติเราเนี่ย ตลอดวันตลอดคืน คนละเดือน ละเดือน อายุของเราก็ย่าง 70 ปีแล้ว เหลืออยู่ ถ้าหากว่าอายุของเราอยู่ไปซัก 90 ปี ก็แสดงว่า 20 ปีหลังนี่ มันก็ตาไม่ตายยายก็ตายแล้ว ไปอยู่กับลูกกันเถอะ เสร็จแล้วตัดสินใจเรียกลูก ทั้ง 5 คนมา พ่อแม่มีทรัพย์สมบัติเท่านี้ มาแบ่งกันไปเท่าๆ กัน ใครจะเป็นคนแบ่ง มาจัดแจงแบ่งเอาเลย เอาให้พอใจด้วยกันทุกคน แบ่งทรัพย์แบ่งสมบัติให้แล้ว หมดทุกคน เรือนชานบ้านช่องที่ไร่ ที่ดิน ที่เลือก ที่สวน ขายหมดซะ ที่ไร่ที่นาเนี่ย ถ้าไปแบ่งเป็นที่ไร่ที่นา มันเกินไปไร่หนึ่งงานหนึ่งเดี๋ยวมันจะไม่เท่ากัน บ้านเรือนก็ขายซะให้หมด แบ่งกันเป็นเงินมันจะได้เท่ากันทุกคน 5 คน ขายเกลี้ยงเลย ทั้งหมด ขายทั้งหมดเลย เอาเงินมาแบ่งกันให้ลูก 5 คน อีทีนิ เสร็จแล้ว พอขายหมดแล้ว ก็อยู่กับลูกชายคนโต ทีนิ ลูกชายคนโต ไอ้ลูกชายน่ะมันลูกเรา ลูกสะใภ้มันลูกเขา ทีนิ ลูกชายก็ออกไปทำงานทำการไป หากินนอกบ้านไป อยู่บ้านกับลูกสะใภ้ อยู่ไปอยู่มานานเข้านานเข้า ไม่ทันถึงปีเลย อยู่ไป สี่ห้าเดือนเขาลำคาน โอ ไก่แก่ๆ ตัวนี้ หากินไม่พ้นบ้าน พอไก่เขาขึ้นบ้านขึ้นเรือนเขาก็ว่า หาไก่คู่นี หากินไม่พ้นบ้าน ไปลงไป ลงจากบ้านไป จะมาอยู่ทำไม เขาไล่ไก่ เขาไม่ได้ไล่คนแก่สองคนนี่ ลูกสะใภ้ มันไล่ไก่ พอเขาไล่ไก่บ่อยเข้าบ่อยเข้า พ่อมันเขาไล่เราแล้วทีนิ เขาขับไล่ เราแล้ว แสดงว่าลูกสะใภ้มันลำคาน แล้ว เค้าไล่เรา จะกินทีจะนอนทีน้ำตาก็ไหลลิ่วเลย คนแก่ทั้งสองคน ตัดสินใจไปอยู่กับลูกคนที่ 2 ลูกชายอีก อยู่กับลูกสะใภ้อีก ก็เป็นเหมือนกัน คนแก่แล้ว จะกินข้าวหกบ้าง อะไรบ้าง เขาก็บ่นจู้จี้จุกจิกไป เพราะมันไม่ใช่แม่เขา พอเวลาลูกชายกลับมาเขาก็ทำเป็นพูดกับแม่ดี พูดกับพ่อดี พูดกับปู่กับย่าดี พอลูกชายออกไปทำงาน เขาก็พูดกระแทกแดกดัน ไป น้ำตาไหลลิ่วอีก อยู่ไม่ได้ ไปอยู่กับลูกคนที่ 3 ลูกชายคนที่ 3 อีก พอไปอยู่กับลูกชายคนที่ 3 ก็เป็นเหมือนกัน ลูกชายมันลูกเรา ลูกสะใภ้มันลูกเขา เขาจะไปรักเราเท่าไรล่ะทีนิ เพราะเราไม่ได้อุ้มท้องเขามา เราไม่ได้เลี้ยงเขามา ไปอยู่กับลูกชายคนที่ 3 ก็เป็นเหมือนกัน อยู่ไม่ได้ น้ำหูน้ำตาไหลลิ่ว ว่าไปแล้ว คนแก่นี่คิดมาก แต่ก่อนมีทรัพย์มีสมบัติมันก็เอาอกเอาใจ พอช้างแก่ไม่มีงาแล้ว มันไม่สนใจแล้ว มันได้ทรัพย์สมบัติกันหมดแล้ว ไปอยู่กับลูกสาวคนที่ 4 เออ ลูกสาวนี่มันลูกเรา ลูกเขยนี่มันลูกเขา อ้าว ไอ้ลูกเขยก็ทั้งเล่นทั้งกินอีกล่ะทีนิ เย็นก็เมามา เมามาแล้วมันก็เทศน์ให้พ่อตาแม่ยายมันฟัง ทีนิ เพราะเงินมันให้มาแล้วนี่ เมามาเล่นการพนัน เพราะทรัพย์สมบัติมันได้มาแล้ว เมามาเมื่อไรมันก็ด่าไป ด่าคนแก่ พอเห็น มันเมามาเมื่อไรก็ด่า ลูกเขยนี่มันลูกเขา ลูกสาวนี่มันลูกเรา กินเหล้าเมามาเมื่อไรมันก็ด่า พ่อมันเอย อยู่ไม่ได้หรอกเรานี่ จะตายอยู่แล้ว โรคประสาทมันกินเอาอีกแล้ว ไปเถอะเราไปอยู่กับลูกคนที่ 5 ไปอยู่กับลูกคนที่ 5 ก็เป็นเหมือนกัน เหมือนกันหมดทั้ง 5 คนเลย ไอ้ลูกเขยขี้เมา เมาแล้วก็เล่นการพนันมันก็ด่าไป ด่าพ่อตาแม่ยายไป จิเอาอะไรกะคนเมาละทีนิ ลูกสาวมันลูกเรา ลูกเขยมันลูกเขา ในที่สุดก็นอนน้ำตาไหล ปรึกษากันทีนิ พ่อมันว่าเราไปหาอยู่วัดเถอะ ดูนี่ หลวงพ่อ ท่านเป็นเจ้าอาวาส หมาท่านก็ยังเลี้ยง แมวท่านก็ยังเลี้ยง ใครเขาเอาหมาไปปล่อย ท่านสงสารก็ยังเอาข้าวขุน แมวท่านก็ยังอุตส่าเอาข้าวมาขุนมัน ไปอยู่กับวัด ตัดสินใจชวนกันไปปฏิบัติธรรมทีนิ ปฏิบัติไปปฏิบัติมา ก็ขออยู่กับวัด เอ้า หลวงพ่อก็รับมา เออ มา มาอยู่กับวัดนี่แหละโยม วัดมันก็มีทั้งแม่ชี ทั้งผู้ปฏิบัติกันมากมายอยู่ในวัด หลวงพ่อก็ดูแลไม่ทั่วถึงก็คนมันมาก เสร็จแล้วก็อยู่ไปอยู่มานี่ เขาก็เกลียดเขาก็หาว่า คนแก่ สองคนนี่ ไม่ช่วยปัดไม่ช่วยกวาดไม่ช่วยถู ถึงเวลาก็นั่งให้คนเขาเอาข้าวให้กิน มันไม่ใช่พระ คนนั่นก็พูดเสียดสี แม๊บเข้าไป คนนี่ก็พูดเสียดสี
แม็บเข้าไป นั่งน้ำตาไหลลิ่ว อีกล่ะทีนิ เวลาเขานั่งจงกลมก็นั่งกับเขาไม่ได้ ก็มันแก่แล้ว เดินไปก็กอดเสาต้นนั้นไป ยืน พากันเดินไป ก็ไปเกาะเสาต้นนั้นไป น้ำตาไหลลิ่ว อีกแล้วทีนิ ในที่สุดเข้ามาในวัดก็ถูก เขาเสียดสีนินทาว่าร้าย จากคนที่ขาดเมตตา เพราะหลวงพ่ออยู่ที่วัดก็ดูแลไม่ทั่วถึงเพราะว่าคนมันมาก ตัดสินใจชวนกันออกจากวัดมา ไปหาที่สาธารณะอยู่ แล้วก็ไปยกกระต๊อบอยู่หลังหนึ่งทีนิ หากระลังกระดาษไปทำฝา หาไม้ไผ่ไปสับฝ่า ทำพื้น หาหญ้ามามุงเข้าอยู่ เสร็จแล้วก็หา กะโหลกกะลาถือ เที่ยวหาขอทานเขากินล่ะทีนิ เที่ยวหาขอทานเขากิน ไป หากินไป พอได้อยู่ได้กิน พอได้เงินมาก็เอาเงินไปซื้อทอง เปลวเป็นทอง แผ่น เสร็จแล้วก็ไปเอาดินเหนียว มาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ทีนิ เอาปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ พอได้เงินมาก็ไปซื้อทองเปลวมาก็ปิดๆๆ ก้อนดินเหนียวนี่ เอากาวทาเข้า เอาทองปิดอย่างสนิท อย่างดีอีทีนิ่ เป็นทองก้อนใหญ่เลยทีนิ เอาผ้าขี้ลิ้วมาก็มาห่อหลายๆ ชั้น เสร็จแล้วก็หาขอทานไป ก็นึกถึงลูกไป แล้วก็พูดไปเรื่อยๆ ว่า โอ้ว มีทองอยู่ก้อนหนึ่ง นึกสงสารลูกอยู่ ว่า ลูกที่มันอดมันอยากหากินไม่ทัน พ่อแม่ก็แก่แล้ว ถ้าหากว่าใครรู้จักลูกของฉัน ชื่ออย่างนี้ๆ ก็ให้บอกมาหาฉัน ด้วย พ่อกับแม่ ยังมีทองอยู่ก้อนหนึ่งอยากจะมอบให้ลูก ไอ้คนที่เขาให้ทานที่เขาให้อยู่ให้กินเขาก็พูดกันไป กันไป ไปถึงหูของลูก ทีนี้ เอ้ สงสัยจะมีจริงๆ เราก็ไม่รู้เนาะ เราไปดูซะหน่อยเถอะ พอเห็นลูกผู้หญิงไปดู แกก็พยายามแก้ผ้าขี้ลิ้ว ที่ห่อทองอยู่ลับๆ ล่อ ๆ พอลูกมองเห็น เสร็จแล้วแกก็ห่อเอาไว้คืน แกก็ไม่ให้ ลูกสาวพอไปเห็นเท่านั้นเอง ไปเล่าให้ลูกทั้ง 5 คนทีนิ บอกว่าแม่มีทองอยู่ก้อนใหญ่เลย เสร็จแล้วก็ชวนกันมาปรนนิบัติทีนิ จัดเวรยามมา จัดเวรจัดยามมาปรนนิบัติ อยากจะได้ทองจากพ่อจากแม่ ลูกคนที่ 1 มาปรนนิบัติพ่อแม่ก็ พ่อกับแม่ก็พยายามแก้ผ้าขี้ลิ้วให้ลูกเห็นว๊อบๆแว็บๆ ไป คนแก่เออ หลงหน้าหลงหลังว่าทอง จะอยู่ไหมหนอ ไหนกูแก้ดูนะว่า แก้ดูแล้วก็เก็บเอาไว้คืน ลูกบีบแข่งบีบขา ก็เห็นเล็งไปแต่ก้อนทองแหละทีนี่ เล็งไปก้อนทอง ใครปรนนิบัติมาก็แบ่งกันมาปรนนิบัติพ่อแม่ พ่อแม่ก็แก้ให้เห็น เสร็จแล้วลูก 5 คนก็ปรึกษากัน ว่า เอ้ พ่อแม่คิดว่าหมดแล้วยังเหลือทอง อยู่ก้อนหนึ่งว่ะ เอาอย่างนี้เถอะ อีกคนหนึ่งก็ เดี๋ยวข้าพเจ้าจะไปปรนนิบัติแกเอง แม้อายุแกยืนจริงๆ จะตายก็ไม่ตายเว้ย คิดว่าหมดแล้ว เสร็จแล้วก็เอายาถ่ายผสม กับอาหารให้คนแก่กินทีนิ่ พอคนแก่กินแล้วก็ถ่ายทั้งวันทั้งคืน ลิ่วๆ เลย ถ่ายลงไป กินยาถ่าย ถ่ายไปก็เลยหมดแรง ก็เลยพากันตายทั้งตาและยาย พอตายเสร็จแล้วก็ จัดงานศพทีนิ่ หาหนัง หาลิเก หมดไม่รู้เท่าไหร่ เลย หาหนังมา หาลิเกมา หาพระมาเทศน์ ดีๆ เพราะเงินมันมีนี่ เสร็จแล้วก็ให้ลูกทุกคนไปหากู็เงินเขามา เขาจะได้หาว่าเราเนี่ยเป็นลูกที่มีความกตัญญู จัดงานศพพ่อแม่ยิ่งใหญ่ใครอยากกินเหล้าซื้อเหล้าให้กิน ใครอยากกินเบียร์ซื้อ เบียร์ให้กิน ใครอยากดูหนังหาหนังมาฉายให้ดู ใครอยากดูลิเกหาลิเกมาเล่น จัดงานศพเจ็ดวันเจ็ดคืน พอวันที่เจ็ดก็เผาทีนิ่ เอาพ่อเอาแม่ไปเผา แต่ก้อนทองนั้นยังไม่เอาไปขายทีนิ อยู่กับลูกชายคนโต ทีนิ เป็นคนเก็บไว้ รักษาทองเอาไว้ พอเผาพ่อเผาแม่เสร็จแล้วก็ เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ไปดูเงินที่ลงทุนไป ทำงานศพของพ่อแม่ หมดไปเท่านี้หมื่น หมดไปเท่านี้แสน หมดไปหลายแสน เสร็จก็มาปรึกษากันให้เอาทองไปขาย เอาทองไปขายก็ให้ ลูกชายคนโต กับลูกอีกสองคน ไปเป็นสักขีพยานกัน เดี๋ยวจะมาโกหกกันว่า ทองขายได้เท่าไร เดี๋ยวจะมาโกงกัน อีก พอเอาทองไปขาย ไปที่ร้านทองห่อผ้าขี้ริ้วไปอย่างดี ร้านขายทองเขาก็ส่องแว่น ส่องดู เขาก็เอามือสะกิดๆ ดู เขาก็บอกมันไม่ใช่ทอง มันเป็นดินเหนียว มันไม่ใช่ทอง มันเป็นดินเหนียว เท่านั้นเอง เสร็จแล้วก็เอามือไปหยิกดู มันเป็นดินเหนียวทีนิ เสร็จแล้วก็เดินเอาทอง กลับมาบ้าน มาก็มานั่งน้ำตาร่วงผลอย เอ้ เป็นเพราะที่เราไปทำกรรมกับพ่อกับแม่ของเรา ไปฆ่าแกตายโดยทางอ้อม เผาเสร็จแล้วเนี่ยทองมันเลยกลายเป็นดินเหนียว หาว่าอานิสงแห่งความเนรคุณของคน ที่มีคุณนี่ ทองก็เลยกลายเป็นดินเหนียว เสร็จแล้วก็เลยเอาทองไปโยนทิ้ง ไปในแม่น้ำ เสร็จแล้วลูกคนที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 มันก็มาทวงเงิน เอาทองไปขาย เงินไปไหนหมด สองคนนี้ก็บอกว่าทองมันไม่ใช่ทอง เป็นดินเหนียว เสร็จแล้วก็คิดว่ามันโกงกันล่ะทีนิ โกงกันเป็นหนี้เป็นสินเขามาก ก็วางแผนฆ่าพี่ชายตนเองล่ะทีนิ หามือปืนมา เพราะว่ามันมีหนี้สินเขามาก เสร็จแล้วก็ฆ่ากันตายทีนี พอพ่อมันตาย ลูกชายมันอยู่ มึงฆ่าพ่อกู กูจะฆ่าพ่อมึงแม่มึงเหมือนกัน เสร็จแล้วในที่สุดมันก็ฆ่ากันเอง ตายไม่มีเหลือ นี้คือเรียกว่า อานิสงแห่งความเนรคุณ ในอนาคตมันเกิดความยากความลำบาก เกิดความยุ่ง มีเงินมีทองก็เป็นหนี้เป็นสิน หากินไม่พอปากพอท้อง เดี๋ยวลูกก็ป่วย เดี๋ยวเมียก็เจ็บ เดี๋ยวผัวก็มีอันเป็นไป เขาเรียกว่าอานิสงแห่งความเนรคุณ เดี๋ยวมันเป็นไปของมันเอง เราไม่ต้องไปแช่งไปด่ามันหรอก มันเป็นของมันเอง คนเนรคุณนี่ มันหาความสุขไม่ได้หรอก เดี๋ยวถึงกาลถึงเวลาแล้วมันเป็นของมันไป เอาแหละบัดนี้หลวงพ่อฉันก็ได้พูดมา เล่าอะไรต่อมิอะไรมาตามใจฉัน ช้างแก่ไม่มีงาเนี่ย ระวังนะ หลวงพ่อฉันเตือนเอาไว้ ช้างแก่ไม่มีงาเนี่ย เดี๋ยวลูกเต้าเขาจะไม่เลี้ยง เออถ้ามีงาอยู่ มันก็พอยังคิดถึงอยู่ เพราะมันต้องการทรัพย์สมบัติ ต้องการผลประโยชน์ อย่าให้มันหมดเขี้ยวหมดงา เป็นช้างแก่เนี่ย มองหน้าให้ดี มองหลังให้ดี มองหน้าลูกให้ดี มองเบื้องหลังลูกให้ดี เบื้องหลังมันเป็นอย่างไร เบื้องหน้ามันเป็นอย่างไร เอาแหละ หลวงตาฉันก็ขอจบเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดี ความรู้แจ้งเห็นจริงจงบังเกิดมี แก่ท่านผู้ฟัง ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ ขอเจริญธรรม

Comments

comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

* 0+0=?